วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องเล่า "ยาวิเศษ"


เรื่องเล่าเพื่อการเยียวยา

  ยาวิเศษ

 

          เวลา 17 ปี กับการทำงานประจำในห้องอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน ในโรงพยาบาลอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้

          ฉันเฝ้าถามตัวเองไม่เว้นแต่ละวัน ว่าเหตุการณ์ที่ใครบอกว่า ตื่นเต้น เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แต่ฉันกลับไม่ยินดียินร้ายในความสูญเสีย หรือแม้แต่คำชื่นชมยินดีของใครต่อใคร ฉันจะบอกตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า เรื่องนี้ ผ่านมาแล้ว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป 

          ไม่ว่าเรื่องอะไร ผ่านมาแล้ว มันก็ผ่านไปเฉยๆ ไม่เหลือความรู้สึกอะไรเก็บไว้ในใจ จริงหรือ??

จนถึงวันหนึ่ง เรื่องราว...เรื่องหนึ่งก็ผ่านเข้ามาเป็นบททดสอบ ความเป็นคนในวิชาชีพ “พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ งานอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน” ตัวตนจากงานประจำของฉันอีกครั้ง    

                บนถนนที่ชื้นแฉะและสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ฉันพยายามเพ่งมองผ่านสายฝนที่ลงมาถูกกระจกรถพยาบาลที่ฉันนั่งอยู่ ภาพลางๆ ด้านหน้าที่มองเห็นเป็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง กำลังมุงดูอะไรสักอย่างที่ข้างถนน  พี่ปัดน้ำฝนให้เร็วขึ้นอีกหน่อยมันมองไม่ชัด…” ฉันบอกกับ พี่เป้ ซึ่งเป็นพนักงานขับรถของโรงพยาบาลพร้อมกับดึงกิ๊บสีขาวที่ติดกับหมวกของฉันออก แล้ววางหมวกลงบนที่วางของติดกับกระจกหน้ารถ โดยไม่ได้ละสายตาไปจากกลุ่มคนที่ฉันมองอยู่ตั้งแต่แรก น้องสองคนที่มาด้วยกุลีกุจอเตรียมข้าวของบางอย่างด้วยความรีบเร่ง พร้อมกับยื่นเสื้อกันฝน ถุงมือ และกระเป๋าใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลให้กับฉัน หลังได้ยินเสียงที่ฉันคุยกับพี่เป้ ฉันรับมาด้วยความกระฉับกระเฉง และวางกระเป๋าไว้บนเบาะรถด้านข้างที่นั่งอยู่ ภาพที่เห็นในตอนแรกเริ่มชัดเจนขึ้นจอดๆๆ จอดตรงนี้แหละให้พวกเราลงก่อน   

เอี๊ยด!…..ทันทีที่ฉันได้ยินเสียงล้อรถบดกับถนน ฉันหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นบนบ่าและกระโดดลงจากรถด้วยความรวดเร็ว รีบวิ่งฝ่าสายฝนและฝูงชนที่ยืนรายล้อมพร้อมกับตะโกนเป็นระยะ ขอทางหน่อยค่ะขอทางหน่อยค่ะ ชั่วอึดใจเดียวฉันก็ไปถึงด้านหน้าสุด ศาลาพักผู้โดยสารริมทางหักพังลงไม่เป็นท่า  รถปิกอัพแคบสีดำ จมอยู่ในน้ำที่มีตะกอนขุ่นข้น ฉันพยายามสอดส่ายสายตาหาผู้บาดเจ็บแต่ไม่มี

กู้ชีพเอาคนเจ็บไปหมดแล้วหัวหน้าแต่มีติดในรถคันนี้อีก สองคนฉันหันไปมองที่ต้นเสียง ภาพที่เห็นเป็นภาพของรถทัวร์คันใหญ่หักพับเป็นรูปตัว “V” นอนตะแคงข้างอยู่ ด้านบนมีเสาไฟฟ้าที่ล้มพาดทับที่ตัวรถ กระจกแตกยับไปทั้งคัน ฉันไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปหาต้นเสียง รองเท้าส้นสูงคู่สวยสีขาว กางเกงขายาวสีขาวตัวเก่งของฉัน เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน ฉันก้มลงพับขากางเกงขึ้นครึ่งแข้งและเดินต่อไป

แจ้งตำรวจ และแจ้งไฟฟ้าหรือยังคนที่ติดในรถอยู่ตรงไหน...ผู้หญิงหรือผู้ชายตอนนี้เป็นยังไงบ้างฉันถามทุกอย่างที่ฉันนึกได้ในตอนนั้น เดินเร็วจนแทบจะวิ่ง ย่ำโคลนเข้าไปโดยไม่ใยดีกับโคลนที่กระเด็นติดเสื้อผ้าสีขาวในใจคิดแต่เพียงว่า ฉันต้องไปให้ถึงและช่วยสองคนที่ติดภายในรถออกมาให้ได้ เร็วที่สุดและมีความปลอดภัยที่สุด ยิ่งเดินเข้าใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นถึงความเสียหายของรถ ชัดขึ้น ชัดขึ้น และชัดขึ้น รถพังทั้งคันขนาดนี้คนที่อยู่ด้านในจะสาหัสขนาดไหนหนอ

ฉันนึกภาพผู้บาดเจ็บ ที่รอการช่วยเหลือ ร้องให้อย่างเจ็บปวดทรมาน หรือหรือว่าเขาทั้งคู่อาจจะ……ไม่หรอกน่าเขาต้องไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งก้าวเท้าเร็วและถี่ขึ้น

หัวหน้าครับทางนี้มันเข้าได้ทางเดียวอยู่ด้านหน้ารถครับ เสียงกู้ชีพตะโกนเรียก ฉันรีบเดินไปตามที่เขาบอก ภาพที่ฉันเห็นกระจกรถบานใหญ่แตกละเอียด เศษกระจกกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นและบริเวณโดยรอบ พี่สนกู้ชีพร่างสูงใหญ่สวมเสื้อสีดำ ด้านหลังของเสื้อ มีอักษรตัวใหญ่สีขาวเขียนไว้ “OTOS” (หน่วยกู้ชีพกู้ภัยตำบล) เขาดูกระวนกระวาย แววตากังวลอย่างเห็นได้ชัด  

ขึ้นมาช่วยดูคนเจ็บหน่อยหัวหน้า เอาผ้าก๊อตพันแผลมาด้วยนะ ฉันพยักหน้ารับ มือจับกระเป๋าที่สะพายมาแน่น หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ฉันค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนซากรถ โดยมีกองเศษไม้และก้อนหินขนาดใหญ่วางเป็นแนวเหมือนขั้นบันไดให้ฉันก้าวขึ้นทีละขั้น ทีละขั้น

ตายแล้ว!..ลึกและชันขนาดนี้แล้วฉันจะลงไปได้ยังไงกันฉันนึกในใจ พร้อมๆ กับมองลงไปที่ช่องว่างในซากรถ แต่เหมือนพี่สนจะพอเดาในสิ่งที่ฉันคิดออก มีคนอยู่ข้างล่างแล้วสองคน ปูผ้ายางรองกันเศษแก้วเอาไว้ให้แล้ว ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและค่อยๆ หย่อนตัวลงไปในซากรถทัวร์คันนั้น ในซากรถมีแสงสว่างลอดเข้ามาตามช่องหน้าต่างที่แตก พอที่จะทำให้ฉันมองเห็นภาพภายในรถได้ เบาะผู้โดยสารหักพับไปในทุกทิศทาง เศษกระจกจากหน้าต่างรถแตกกระจายอยู่ทุกที่ เศษเหล็กที่เป็นชิ้นส่วนของเบาะโดยสาร ทิ่มแทงทะลุโผล่พ้นขึ้นมาตามทางที่ฉันค่อยๆผ่านมาเป็นระยะๆ ฉันต้องก้มๆ เงยๆ หลายครั้งเพื่อพาตัวเองให้ผ่านจากเศษของเหล็กแหลมที่ยื่นออกมา  จนในที่สุดฉันก็มาถึงจุดหมาย คือด้านล่างของซากรถ

ช่วยหนูด้วย หนูเจ็บ

ช่วยลูกฉันด้วย

เสียงสั่นเครือของสองแม่ลูกพูดแทบจะพร้อมๆ กันเมื่อเห็นหน้าฉัน ภาพของเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 9 ขวบ ใบหน้าขาวซีด ตาแดง ขอบตาบวมเป่ง แววตาเว้าวอน ริมฝีปากแห้ง สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว สวมกางเกงขาสามส่วนสีดำ เธอใช้มือจับที่เสื้อกันฝนของฉันและเขย่าไปมา เอาหนูออกไปที  หนูเจ็บมืออีกข้างมันขยับไม่ได้เธอพูด ฉันมองตามที่เธอบอก  ตั้งแต่หัวไหล่จนถึงฝ่ามือด้านขวาของเธอถูกเหล็กขนาดใหญ่กดทับติดนิ่งอยู่กับที่ ขยับมือได้ไหม?” ฉันถามพร้อมกับมองหามือหรือนิ้วที่อาจจะโผล่ออกมาพอให้ฉันได้เห็นบ้าง แต่ไม่มี มันเจ็บหนูไม่อยากขยับพูดจบน้ำตาที่คลอเบ้าตาเธอไว้ตั้งแต่แรกก็พรั่งพรูออกมา  และเหล็กท่อนใหญ่อันนั้นยังได้ทับเอาสะโพกและขาทั้งสองข้างแม่ของเธออยู่ด้วย แม่ของเธอมีรูปร่างท้วม ผิวขาว สูงประมาณ 150 เซนติเมตร สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก๊อต หน้าตาบิดเบี้ยว มีน้ำตาตาคลอ ขายังรู้สึกไหม?” ฉันถาม มันชาและขยับไม่ได้เลย” “อดทนอีกหน่อยนะเดี๋ยวก็ได้ออกไปแล้ว

ฉันพูดพลางเปิดกระเป๋าและหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลออกมา ในระหว่างนั้นทีมงานกู้ชีพกู้ภัยก็ทยอยกันลงมาทีละคน จนบริเวณนั้นเริ่มอึดอัดและแน่นไปหมด พี่ก้มหัวลงหน่อยนะ” “พี่มียาดมไหม?” “คุณหมอมีกรรไกรไหม….คุณหมอเหนื่อยหน่อยนะบางครั้งฉันได้ยินเสียงจากด้านนอกที่ตะโกนเข้ามาให้กำลังใจ บางครั้งฉันก็มองเห็นขวดน้ำที่ยื่นเข้ามาให้ทีมงานเราจากด้านล่าง บางครั้งมีเสียงประกาศจากโทรโข่งบอกความก้าวหน้าของการช่วยเหลือ เป็นระยะ จากช่องหน้าต่างซากรถมีแสงไฟของรถตำรวจและรถพยาบาลกระพริบอย่างต่อเนื่อง ทุกคนร่วมด้วยช่วยกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่แต่เรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ฉันไม่ได้โดดเดี่ยว ฉันนึกและยิ้มในใจ

หิวน้ำ…..มีแต่บอกให้รอ ให้รอ แล้วเมื่อไหร่จะได้ออกไปสักที เด็กหญิงกรีดร้องสุดเสียง พลางใช้มือด้านที่ไม่ถูกทับทุบบริเวณพื้นที่ว่างด้านข้างลำตัวของเธอ ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตอนนี้กำลังหาเครื่องมือมาตัดเหล็กที่ทับแขนและขาของหนูและแม่อยู่ รออีกนิดนะ ฉันพูดพร้อมกับทำแผลและยื่นแอมโมเนียให้กับแม่ของเธอ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เราไม่รู้ เรารู้เพียงแค่ว่าเราต้องพยายามช่วยเธอทั้งคู่ออกมาให้ได้ เราต่างทำหน้าที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เครื่องตัดเล็กไปใช้ไม่ได้” “นี่ก็ใหญ่ไปเข้ามาในรถไม่ได้….” “ใช้กรรไกรเลาะเอาเบาะออกก่อนฉันได้ยินคำพูดเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง สำเร็จแล้ว แขนออกมาได้แล้ว หนึ่งในทีมงานตะโกนบอกคนที่อยู่ด้านนอก ฉันรีบเช็ดทำความสะอาดแขนของเด็กน้อยและดามด้วยไม้ดามแขนเท่าที่ทำได้ในตอนนั้นและนำเธอลอดออกทางหน้าต่างด้านล่าง ส่วนแม่ของเธอเราใช้กระดานแข็งรองหลัง ยึดลำตัว สะโพกและขาด้วยเข็มขัด อย่างแน่นหนาและลำเลียงเธอออกมาเป็นลำดับที่สอง แต่ช่องหน้าต่างด้านล่างเป็นช่องที่เล็กและแคบ ทีมกู้ชีพจึงตัดสินใจใช้วิธีทุบประตูหนีไฟของรถ ให้เปิดออกและค่อยๆนำเธอออกมา สำเร็จ….เราทำสำเร็จจากนั้นเราค่อยๆทยอยออกมากันทีละคนทีละคน จนถึงฉัน

ฉันค่อยๆ ลอดช่องประตูหนีไฟอย่างระมัดระวัง เพราะบริเวณนั้นเต็มไปด้วยโคลนและลื่นมาก เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องอันดังก็เกิดขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันนึกในใจ ฉันมองไปโดยรอบเห็นใบหน้าของผู้คนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงปรบมือและคำชื่นชม ขอบคุณนะคุณหมอ พูดพร้อมกับยกมือไหว้ บ้างก็ร้องให้น้ำตาคลอ ในวินาทีนั้นฉันรู้สึกอิ่มใจ ชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก หัวใจฉันถึงได้พองขึ้น และโตขึ้นจนเป็นลูกโป่ง ตัวฉันเบาหวิว ทุกก้าวที่ฉันเดินออกไปเหมือนกับฉันไม่ได้เหยียบลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยโคลนเหมือนในตอนแรก ฉันฉันลอยได้

17 ปีของการทำงาน วันนี้แหละ ฉันรู้สึกเหมือนได้พบกับ ยาวิเศษในกระปุกเล็กๆ เม็ดน้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในงานของฉัน แม้จะมีรสขมเพราะไม่ได้เคลือบไว้ด้วยน้ำตาล แต่สรรพคุณยิ่งใหญ่ มันทำให้ฉันมีเรี่ยวแรง มีกำลังใจอย่างมหาศาล ทุกครั้งที่ฉันพบกับความสับสน ยุ่งยาก หรืออุปสรรคจนรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังในการทำงาน ฉันจะนึกถึง ยาวิเศษกระปุกนั้น และหยิบมันออกมาค่อยๆ กลืนลงลำคอ ปล่อยให้มันไหลลื่นลงไป ละลายในกระเพาะและแทรกซึมไปตามร่างกายของฉัน ทำให้ฉันมีพลังและต่อสู้อีกครั้ง

ฉันไม่รู้หรอกว่ายากระปุกนี้จะใช้ได้นานแค่ไหน และใช้ได้กับใครบ้าง แต่ฉันเชื่อว่า ยาวิเศษ ไม่ได้มีเพียงเม็ดเดียวเหมือนในนิทานหรอก เพราะมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่งรอบๆ ตัว ขึ้นอยู่ที่ว่าฉันจะหามันเจออีกหรือเปล่า เท่านั้นเอง

 

 

วิภารัตน์  หงษ์ษา พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ

งานอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิโรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ